Input — สำคัญที่สุดในการเรียนภาษา
ขอเตือนก่อนจะเริ่มเลยนะคะว่าบทความวันนี้อาจไม่ตรงใจหลายๆคน แต่มันเป็นเรื่องจริง ณ ปัจจุบันในวงการการเรียนการสอนภาษาที่หญิงอยากมาเล่าให้ฟังกัน
เพิ่งรู้และได้คำตอบว่าทำไมเด็กไทยทำข้อสอบได้ดี มีความรู้ แต่ไม่สามารถสื่อสารได้คล่องก็เมื่อมาเรียนวิชานึงที่ชื่อ SLA in the Classroom ที่อาจารย์ท่านนำงานวิจัยบวกบทความทางวิชาการหลายมุมมองมาสอนทำให้ร้องอ๋อ……ได้ทุกๆวันที่เรียนวิชานี้
จะว่าไปเรื่องทำข้อสอบได้ พูดไม่คล่องเนี่ยก็เป็นกันอยู่หลายแห่ง กระจัดกระจายกันทั่วโลกนะคะ แต่หญิงจะขอเล่ามุมมองและประสบการณ์ของหญิงประกอบกับข้อมูลร้อนๆที่เพิ่งได้เรียนมาแล้วกันนะคะ
ความแตกต่างระหว่างเด็กและผู้ใหญ่
ทำความเข้าใจกันก่อนนะคะว่าเด็กและผู้ใหญ่ที่เรียนรู้ภาษานั้นต่างกัน(มาก) โดยเฉพาะเด็กที่เรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกกับผู้ใหญ่ที่เรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ (English as a foreign language: EFL) แบบบ้านเราการที่ผู้ใหญ่นี่แทบไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย ทั้งความสามารถในการเรียนรู้โดยรวมและสิ่งแวดล้อมในแทบทุกด้าน
ดังนั้น เราไม่สามารถเปรียบเทียบผู้เรียนสองกลุ่มในการเรียนภาษาใดภาษาหนี่งได้เลย เลิกน้อยใจ ผิดหวัง หรือเสียดายว่าเราไม่เหมือนเขาไปได้เลย
เอาเป็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าหากย้ายหรือไปเรียนภาษาอังกฤษในประเทศที่ใช้ภาษานั้นๆ เพราะความสามารถด้านการฟังบวกกับการประมวลผล ความกังวลใจที่น้อยกว่า ทำให้เขาทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่ค่ะ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเรามองเรื่องของการเรียนรู้คำศัพท์และไวยากรณ์ เชื่อหรือไม่ค่ะว่าผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ทำได้ดีกว่าผู้เรียนที่เป็นเด็กมากๆ รวมไปถึงการอ่านก็เช่นเดียวกัน แต่ที่น่าสนใจและอาจคาดไม่ถึงก็คือถ้าผู้เรียนสองกลุ่มนี้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษจากระดับเริ่มต้น (beginners) ในบริบทหรือสิ่งแวดล้อมเดียวกันทั้งสองกลุ่มนี้จะมีความสามารถทางภาษาที่เท่าเทียมกันในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน
โดยสรุปก็คือ เด็กเรียนรู้เรื่องการฟังและพูดได้ดี และผู้ใหญ่แม่นคำศัพท์และไวยากรณ์มากกว่า
Input
นอกจากเรื่องความสามารถทางการเรียนรู้ของผู้เรียนแล้วเนื้อหาหรือสิ่งที่เราเรียนรู้ (input) เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการเรียนภาษา แต่อาจถูกมองข้ามกันบ่อยๆ
หนึ่งในปัญหาของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของเมืองไทยก็อยู่ที่ตรงนี้(และความเห็นส่วนตัวของหญิงแล้ว เราต้องแก้ที่นี่)ค่ะ
จะว่าไปแล้ว input ที่เราเรียนหรือสอนกันทั้งในระบบโรงเรียนและนอกโรงเรียนมันก็อาจมีส่วนคล้ายกับภาษาที่เราต้องใช้จริงอยู่บ้าง แค่หญิงว่าส่วนต่างมันมากกว่าจนบางครั้งก็อดกังวลใจกันไม่ได้ พูดง่ายๆก็คือว่า ในระบบโรงเรียนทั่วไปแทบจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเราเรียนกันไปเพื่อเน้นการสอบให้ผ่านมากกว่าการใช้และสื่อสารได้จริง สื่อและหนังสือที่เราใช้ก็มักจะมาจากสำนักพิมพ์ต่างๆทั้งในและต่างประเทศ แต่รู้มั้ยคะว่าหนังสือส่วนใหญ่ไม่ได้สะท้อนภาษาที่เราใช้กันจริงๆในชีวิตประจำวันหรือที่เรียกกันว่า authentic สักเท่าไหร่
ประเด็นที่สองก็คือสิ่งที่เราเรียนและ input ค่อนข้างจำกัด นอกจากหนังสือ ครูผู้สอน ชีทบทเรียนต่างๆ แล้วผู้เรียนอาจไม่ได้เรียนรู้ภาษาจากสื่ออื่นๆโดยเฉพาะสื่อจริง (authentic) เลย สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นกับการพัฒนาทางภาษามากถึงมากที่สุด ถ้าหากขาดไปก็เหมือนต้นไม้ไม่มีน้ำแล้วจะโตได้อย่างไร และหากผู้เรียนจำกัดอยู่เพียงแค่การเรียนในห้อง(ซึ่งโดยส่วนใหญ่เรียนไปเพื่อสอบ) เขาจะสามารถสื่อสารได้อย่างไร เพราะเรียนและฝึกไปคนละทิศทางกับสิ่งที่เราต้องการนำไปใช้จริง
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าหญิงกำลังโจมตีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในบ้านเรานะคะ ข้อดีก็มีอยู่เยอะมาก หนึ่งในนั้นก็คือที่เรารู้กันดีว่าเด็กไทยส่วนใหญ่ แม่นเป๊ะไวยากรณ์ คำศัพท์ และการแปลมากจริงๆ
สิ่งที่หญิงต้องการจะสื่อก็คือ เราอาจจะต้องกลับมาให้ความสำคัญกับสื่อหรือ input ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะสิ่งนี้เป็นต้นกำเนิดของการเรียนรู้และ“สำคัญที่สุด”ของภาษา
เรื่องสื่อยังไม่จบนะคะ ไว้คราวหน้า (พุธที่ 15 ก.ค.) หญิงจะมาแนะนำว่าเราเลือกสื่อประเภทไหนและต้องทำอย่างไรเพื่อจะให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการเรียนภาษาอังกฤษค่ะ
เขียนเมื่อ 8 ก.ค. 2558 บนเว็บไซต์ www.wordpress.com/kruyinginnyc